ภูริ หิรัญพฤกษ์"ดารานักแสดงชื่อดัง ร้องดีเอสไอ ตรวจสอบที่ดินบนเกาะนาคาน้อย ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินครอบครัวตนเอง เพราะเชื่อว่า อาจมีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ
เมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 ธ.ค. พ.ต.ท.ประวุฒิ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อม นายโชคดี อมรวัฒน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อาทิ เทศบาลตำบลป่าคลอก สำนักงานที่ดินส่วนแยกอำเภอถลาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ถลาง เป็นต้น ลงพื้นที่บริเวณเกาะนาคาน้อย หมู่ 5 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต โดยใช้เวลานั่งเรือจากฝั่งเกาะภูเก็ต ไปยังเกาะนาคาน้อย ราว 10 นาที เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีครอบครัว “หิรัญพฤกษ์” ซึ่งเป็นครอบครัวของ นายภูริ หิรัญพฤกษ์ ดารานักแสดงชื่อดังได้ร้องเรียนว่า มีเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก. เลขที่ 3977 หมู่ 5 ต.ป่าคลอก อ.ถลาง ซึ่งติดกับแปลงที่ดินของครอบครัวออกโดยมิชอบ และมีการออกทับพื้นที่ป่า โดยมีนายภูริ หิรัญพฤกษ์ ดาราชื่อดัง พร้อมสมาชิกในครอบครัว ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ในส่วนที่ของตนเอง ซึ่งระบุว่า เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นปู่และบนเกาะดังกล่าว มีที่ดินของครอบครัวหิรัญพฤกษ์เพียงครอบครัวเดียว โดยได้ออกมาตั้งแต่ปี 2518 เนื้อที่ประมาณ 60 ไร่ และได้มีการขอสัมปทานพื้นที่บริเวณชายหาด โดยปัจจุบันให้เอกชนรายหนึ่งเช่าในการประกอบธุรกิจ ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าน่าจะไม่มีเอกสารสิทธิ์อื่นอีก โดยปัจจุบันที่ดินของครอบครัวนั้น มีเพียงบ้านพักตากอากาศหนึ่งหลัง โดยยังไม่ได้มีการพัฒนาแต่อย่างใด ยกเว้น บริเวณหน้าชายหาด ซึ่งมีผู้มาขอเช่าพื้นที่เพื่อดำเนินการธุรกิจท่องเที่ยว
พ.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึงการลงตรวจสอบข้อเท็จจริง การออกเอกสารสิทธิ์พื้นที่เกาะนาคาน้อยดังกล่าว ว่า สืบเนื่องจากครอบครัวหิรัญพฤกษ์ ได้ร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ทำการตรวจสอบพื้นที่ที่เชื่อว่า มีการออกโดยมิชอบ เพราะทางครอบครัวหิรัญพฤกษ์ ได้ซื้อที่ดินบนเกาะ และทำประโยชน์มานานเป็นเวลาร่วม 48 ปี และไม่พบว่า มีผู้อื่นมาครอบครองพื้นที่บนเกาะดังกล่าวเลย ส่วนพื้นที่ที่มีการร้องเรียนนั้น เป็นพื้นที่ที่เป็นภูเขาอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ มีสภาพเป็นป่า และมีความสมบูรณ์ของทรัพยากรมาก รวมทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกเงือก แหล่งสำคัญของ จ.ภูเก็ต โดยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ได้มีผู้นำเอา สค.1 เลขที่ 70 ซึ่งอ้างว่าเป็นพื้นที่บนเกาะนาคาน้อยมาขายให้กับทางครอบครัวนี้ โดยพื้นที่ของ สค.1 ขณะนั้นอยู่ติดกับชาวบ้าน 3 ด้าน และติดป่า 1 ด้าน โดยไม่มีพื้นที่ติดทะเล
“สภาพของพื้นที่ที่มีการร้องเรียนนั้น พบว่า มีพื้นที่ติดทะเล เมื่อมีการตรวจสอบเมื่อ 4 ปีที่แล้ว กำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้รับรอง สค.1 ให้กับผู้ครอบครองดังกล่าวยืนยันว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินที่เกิดเหตุ แต่เป็นที่ดินซึ่งอยู่บนเกาะนาคาใหญ่ ห่างจากเกาะนาคาน้อย 1 กิโลเมตร ครอบครัวหิรัญพฤกษ์ จึงไม่ได้ซื้อ แต่ได้เก็บหลักฐานไว้ จนกระทั่งในปี 2557 ได้มีการนำ สค.1 เลขที่ 70 ดังกล่าวไปออก น.ส.3 ก. ในที่ดินที่เกิดเหตุ แต่มีการแก้ไขข้อมูลในเอกสารจากเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา เป็น 17 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา และแก้ไขภูมิประเทศจากเดิมติดชาวบ้าน 3 ด้าน และติดพื้นที่ป่า 1 ด้าน เป็นติดทะเล 2 ด้าน และบุคคลที่ติดกันนั้นไม่ใช่บุคคลเดิม เนื่องจากเราพบว่า เป็นแผนประทุษกรรมที่ว่า นำเอาพรรคพวกตัวเองมาถือครองพื้นที่ที่เป็นช่องว่างระหว่างครอบครัวหิรัญพฤกษ์ เพื่อไม่ต้องให้ครอบครัวนี้เข้ามารับรองแนวเขต
นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขระยะเนื้อที่เพื่อให้สอดรับกับสภาพพื้นที่ของพื้นที่ที่เกิดเหตุ ทั้งนี้จากการลงพื้นที่พบว่าในปี 2557 ได้มีการอ้างว่า มีการทำประโยชน์ มีการปลูกมะพร้าว สวนยาง สวนผลไม้ และออก น.ส.3 ก. จากนั้นได้มีการนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายให้กับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง มูลค่าประมาณ 42 ล้านบาท ในวันเดียวกับที่มีการออก น.ส.3 ก. คือวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 จึงมองว่า การกระทำดังกล่าวน่าจะทำเป็นกระบวนการ ทั้งในส่วนของเจ้าพนักงานที่ร่วมกับผู้ครอบครอง จนออก น.ส.3 ก.สำเร็จ จึงได้มาตรวจสอบ และพบหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เห็นชัดเจนว่า ไม่มีการทำประโยชน์จริง”
พ.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึงแนวทางหลังจากการตรวจสอบแล้วว่า เมื่อพบการกระทำผิดจะนำเสนอเรื่องให้กับคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อรับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งความผิดที่รับได้ คือ การบุกรุกป่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และประมวลกฎหมายที่ดิน ส่วนจะเป็นการฟอกเงินหรือไม่ เนื่องจากมีการซื้อขายกันแล้วต้องส่งเรื่อง ให้กับทางคณะกรรมการ ป.ป.ง. พิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน เพราะต้องรวบรวมข้อมูล และให้ทางผู้เชี่ยวชาญลงมาตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะครั้งนี้เป็นการมาตรวจสอบเบื้องต้น เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาต่อไป สำหรับที่ดินแปลงของครอบครัวหิรัญพฤกษ์ เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะออกถูกต้อง และยังไม่มีผู้ใดร้องเรียนมายังดีเอสไอ