0% Rating
0 Vote(s)
226 Views
5 Comments
21 Fanclub
ตอนที่ 2 : jaeyu | across the universeView : 31 , : 0% / 0 vote(s)
25 เม.ย. 59
ตอนก่อนหน้า
หน้าหลักนิยาย
บันทึก Favorite
ตอนถัดไป
ขนาดตัวอักษร
เพิ่มขนาด
ลดขนาด
across the universe
{ jaehyun / yuta }
Yerin Baek - Across the universe
ผมหลับตาลง พร้อมรอยยิ้ม
ผมกำลังคิดถึงครั้งแรกที่เราจับมือกัน
มันเป็นตอนที่เด็กชายวัยหกขวบพบเด็กน้อยวัยสี่ขวบกำลังร้องไห้งอแงอยู่ที่สนามเด็กเล่นแถวบ้าน หน้าตาของเขาดูคุ้นเคย คงเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆกันหลังไหนสักหลัง ดวงตาเรียวเล็ก ใบหน้าอ้วนกลม ผิวพรรณขาวละเอียด และเสื้อผ้าสะอาดตา ทำให้ผมไม่กล้าเอามือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินไปแตะต้องตัวเขาอย่างที่แม่ชอบทำเวลาผมเสียใจกับเรื่องอะไรสักเรื่องจนน้ำหยดสีใสไหลออกมาจากดวงตา
‘นี่ นายเป็นอะไรหรือเปล่า’
ผมย่อเข่าลงคุยกับคู่สนทนาเดียวภายในสนามเด็กเล่น หวังให้คำถามช่วยเยียวยาความเสียใจ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เด็กน้อยตรงหน้าร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม
ผมเป็นเด็กหกขวบที่รู้แค่ว่าเวลาเสียใจ เราไม่ต้องการอะไรนอกจากคนคอยปลอบ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือการปลอบด้วยการกระทำ สำหรับผม ผมชอบอย่างหลังมากกว่าอย่างแรก ผมรู้สึกว่าตอนที่ผมโดนลูบหลังมันเหมือนกับเขากำลังร่ายเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ผมหยุดร้องไห้ได้
ถ้าผมลูบหลังเขา เสื้อยืดสีขาวของเขาคงเป็นรอยจนซักไม่ออกแน่
ถ้าผมลูบหัวของเขา หมอนของเขาคงเป็นรอยจนซักไม่ออกแน่
แต่ถ้าผมจับมือของเขา ...
ผมมองฝ่ามือขาวที่แนบไปกับพื้นหญ้าอย่างแน่นิ่งราวกับรอให้ผมเอื้อมมือไปสัมผัส มือของผมแตะลงอย่างระมัดดระวัง ค่อยๆผ่อนน้ำหนักลงทีละนิด แล้วทิ้งน้ำหนักลงเต็มกำลังเมื่อรู้สึกว่าเขายินยอมให้ผมจับมือได้แล้ว
ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนกว่าคนปกติบนหลังฝ่ามือของเขา เขาอาจจะอ่อนเพลียกับการร้องไห้จนทำให้เป็นไข้ แม่ของผมเคยบอกว่าคนที่อ่อนแอมักจะไม่สบาย ผมยอมให้เขาอ่อนแอได้แต่ไม่อยากให้เขาไม่สบาย ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องนอนจมปุกอยู่แต่บนเตียงอย่างน่าเบื่อหน่ายเหมือนที่ผมเคยเป็นแน่ๆ
‘เลิกร้องไห้ได้แล้ว’
‘ถ้าไม่หยุดร้องไห้จะไม่สบายเอานะ’
เสียงสะอึกสะอิ้นของเขาเบาลงนิดหน่อย ฝ่ามือขนาดใกล้เคียงกับฝ่ามือของผมขยุกขยิกคล้ายกับกำลังตอบสนองกับคำพูดของผม
‘ถ้าแจฮยอนไม่สบาย แจฮยอนจะโดนดุ’
มันเป็นทั้งประโยคบอกเล่า ประโยคแนะนำตัว และประโยคแรกที่เขายอมพูดกับผม
‘ใครเขาจะดุคนไม่สบายกัน ยิ่งไม่สบายยิ่งต้องดูแลสิ’
‘...ไม่ใช่หรอก เวลาแจฮยอนไม่สบายจะโดนดุตลอดเลย’
‘อืม...’ ผมคิดหนักและคิดถึงคำพูดที่แม่เคยบอกเอาไว้ ทุกครั้งที่ผมโดนดุ แม่มักจะหยิบยกเหตุผลดีๆมาเสมอ ซึ่งผมไม่มีเหตุผลดีๆแบบนั้นในหัวหรอก
‘มันคือวิธีที่เขาอยากให้แจฮยอนหายไม่สบายไวๆต่างหาก’
‘ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักไม่สบายหรอกรู้มั้ย’
แจฮยอนมองผมตาแป๋วอย่างสงสัย แต่มันก็ทำให้เขาเลิกสะอึกสะอื้นได้แล้ว ผมแอบดีใจกับตัวเองในใจ นึกถึงคืนนี้ที่กำลังเล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ฟังบนเตียงว่าผมได้เป็นฮีโร่ช่วยเหลือคนที่กำลังประสบอุบัติเหตุทางน้ำตาได้สำเร็จ
มือเล็กหยัดตัวลุกขึ้นจากพื้นหญ้า พร้อมกับดึงมือของอีกคนให้ลุกขึ้นตาม
‘กลับบ้านกัน เดี๋ยวไปส่ง’
ผมกำชับมือของอีกคนให้แน่นขึ้น หากแต่ขาทั้งสองข้างของเขากลับหยุดอยู่กับที่
‘แล้ว...’ แจฮยอนช้อนตาขึ้นมองผม คล้ายกับดูลังเลกับตัวเองนิดหน่อย
‘...อยากให้แจฮยอนไม่สบายหรือเปล่า’
ผมนิ่งไปสักพัก ทบทวนประโยคที่ไม่มีประธานของอีกคนก่อนจะยิ้มออกมา
‘ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักไม่สบายหรอกรู้มั้ย’
ผมปล่อยมือจากฝ่ามือของเขาแล้วบิดแก้มนุ่มนิ่มไปมา
‘พี่ยูตะน่ะ อยากเห็นแจฮยอนสบายดีทุกวัน ไม่ร้องไห้งอแง แล้วก็ยิ้มให้พี่อยู่ตลอดเวลาด้วย’
นั่นเป็นครั้งแรกที่เราจับมือกัน และเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา
ตั้งแต่นั้นมา ผมหวังอยู่เสมอว่าแจฮยอนจะมีรอยยิ้มในทุกๆวัน
แม้กระทั่งตอนที่พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน
ช่วงมัธยมปลายเราต่างก็ต้องแยกย้ายโรงเรียนไป เขาย้ายไปอยู่แถบเมืองหลวง ส่วนผมยังอยู่ที่โรงเรียนเดิม ระยะทางระหว่างเราห่างไกลกันมาก แต่เราก็ไม่ได้เก็บเรื่องราว หรือความสัมพันธ์เอาไว้เพียงแค่ในกล่องความทรงจำ
เรายังติดต่อกันอยู่เป็นประจำ ติดต่อบ่อยเท่าที่จะทำได้ บ่อยสำหรับเราก็คืออาทิตย์ละครั้งที่เขาจะส่งจดหมายลายมือขยุกขยิกของเจ้าตัวมาให้ และผมจะส่งจดหมายที่แนบด้วยรูปถ่ายวิวธรรมชาติที่คงหายากในเมืองหลวงฝีมือตัวเองกลับไป เราไม่ค่อยนิยมการโทรศัพท์หากันสักเท่าไหร่เพราะเราเล่นเขียนไดอารี่ใส่จดหมายกันไปหมดจนไม่มีเรื่องเล่าอื่นแล้ว ส่วนใหญ่ถ้าจะโทรหากันก็คงเป็นเพราะอยากได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายมากกว่า
อย่างเช่นวันนี้
ผมไถลตัวลงบนเตียงอย่างที่ชอบทำ ก้มหน้าลงหมอนแล้วหันไปหยิบจดหมายใกล้หัวเตียงขึ้นมาอ่าน มันเป็นจดหมายลายมือของผมที่จะส่งไปให้แจฮยอนในสัปดาห์นี้ เป็นการเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเรียนทั่วไป และเนื้อหาที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่ต้นซากุระต้นใหญ่แถวรางรถไฟถูกตัดทิ้งไปแล้วเพราะไปขวางสายไฟที่เกี่ยวกันระโยงระยาง สภาพของมันไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าเป็นต้นซากุระ เป็นแค่ต้นไม้แหว่งๆไร้ก้านไร้ใบ หวังว่ามันจะเติบโตขึ้นทันวันที่นายกลับมาที่นี่นะ
ผมจิ้มโทรศัพท์สองสามทีเพื่อกดโทรออกหาเจ้าของจดหมายฉบับในมือ นานเหมือนกันกว่าอีกคนจะรับโทรศัพท์ ผมนึกภาพเขาอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังนั่งหาคำตอบของแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์อยู่ แล้วก็ต้องกระวนกระวายวิ่งไปหยิบมือถือที่ชาร์จแบตอยู่อีกฟากของห้องอย่างหัวเสีย
'ยุ่งอยู่เปล่า'
'ยุ่งครับ แต่อยากคุยกับพี่มากกว่า'
'กดผิดอะ แค่นี้นะ'
'โห.. ใจร้ายอะ นี่ผมคิดถึงเสียงพี่จะแย่เลยนะ...' แจฮยอนทำเสียงหงอลง นึกถึงใบหน้าของเขาตอนนี้ผมก็ยิ้มออกมาโดยไม่มีสาเหตุ
'เออ รู้แล้วหน่า ถึงได้โทรมาไง'
'พี่กำลังจะบอกว่าคิดถึงผมมากกว่าอะดิ'
'อือ...’
'อยู่ๆก็คิดถึงตอนเด็กๆ จำได้เปล่าว่าเรียกแทนตัวเองว่าแจฮยอน น่ารักกว่าตอนนี้เยอะเลยเหอะ’
ปลายสายหัวเราะตอบกลับมา แล้วผมก็เป็นคนพูดประโยคถัดมาในทันที
'ไหนเรียกแทนตัวเองว่าแจฮยอนให้ฟังหน่อย'
'..' เขาเงียบ คงกำลังทำหน้าบูดเบี้ยวอยู่